ไข้หวัดหมู ? ไข้หวัดใหญ่แม็กซิโก (Swine Influenza)

คมชัดลึก : หลายชาติเสนอให้เปลี่ยนชื่อไข้หวัดหมู หลังคนเข้าใจผิดว่าติดต่อจากหมูทำให้ราคาตก กทม.ประสานเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่สวมหน้ากากป้องกัน หลังประเมินเป็นกลุ่มเสี่ยงรับผู้โดยสารชาวต่างชาติ ระบุ 12 สัปดาห์ ไข้หวัดเม็กซิโกถึงไทย ปศุสัตว์บุรีรัมออกตรวจฟาร์มหมูแนะฟาร์มดูแลด้านสุขาภิบาล นักท่องเที่ยวมาเลย์ผวางดเที่ยวไทย

ริชาร์ด เบสเซอร์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาดของสหรัฐหรือซีดีซี เรียกร้องให้มีการพิจารณาเปลี่ยนชื่อ ไข้หวัดหมู (swine flu) ที่เชื่อว่าทำให้มีผู้เสียชีวิตในเม็กซิโก159 คน โดยบอกว่า ดีเอ็นเอของไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่ระบาดในเม็กซิโกชนิดนี้ประกอบด้วย ดีเอ็นเอจากไวรัสไข้หวัดในหมู ไข้หวัดในนก และไข้หวัดในคน แต่การเรียกว่า ไข้หวัดหมู จึงทำให้เข้าใจไปว่าเชื้อโรคติดต่อได้จากการรับประทานผลิตภัณฑ์เนื้อหมู ซึ่งไม่เป็นผลดีทั้งต่อผู้ผลิตหมูและผู้รับประทานหมู

นอกจากนี้ ทอม วิลแซก รัฐมนตรีเกษตรกรรมของสหรัฐ เรียกร้องเมื่อวานให้มีการเปลี่ยนชื่อโรคที่กำลังระบาดอยู่นี้ โดยบอกว่า อุตสาหกรรมหมูของสหรัฐยังคงปลอดภัยดี และไม่มีหมูป่วยเลยจึงไม่มีเหตุผลที่จะห้ามนำเข้าเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์เนื้อหมู

ขณะนี้บางประเทศ เช่น จีน รัสเซีย และยูเครน ได้ห้ามนำเข้าเนื้อหมูจากเม็กซิโกและบางรัฐของสหรัฐ  และอีกหลายประเทศกำลังตรวจสอบการนำเข้าเนื้อหมูอย่างเข้มงวดขึ้น ส่งผลให้ราคาหมูตกลงอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้คณะกรรมาธิการยุโรป ได้เสนอให้เปลี่ยนชื่อโรคนี้จากไข้หวัดหมูเป็น  "novel flu" ซึ่งคำว่า novel หมายถึง สิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และยังมีข้อเสนอแนะอื่นๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก (Mexico Influenza) และไข้หวัดอเมริกาเหนือ (North America flu)

ส่วนอิสราเอล ก็เรียกร้องให้เปลี่ยนชื่อเป็น ไข้หวัดเม็กซิกัน ( Mexican Flu) เพื่อเลี่ยงใช้คำว่า หมู ซึ่งเป็นสัตว์ที่ชาวมุสลิมและชาวยิวห้ามรับประทานเพราะถือว่าหมูไม่สะอาด

ขณะที่นายเคอิจิ ฟูคุดะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายสาธารณสุข ความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมขององค์การอนามัยโลก หรือ ดับเบิลยูเอชโอ WHO บอกว่า จะยังคงใช้ชื่อไข้หวัดใหญ่ในหมู (swine influenza) และยังไม่มีแผนที่จะเสนอชื่อใหม่แทน โดยหวังว่าจะไม่เกิดความสับสนจนเกินไป

กทม.ชี้ระบุ12สัปดาห์ไข้หวัดเม็กซิโกถึงไทย

 เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 29 เม.ย. ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร(กทม.) พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าฯ กทม. เป็นประธานประชุมเตรียมความพร้อมรับการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เม็กซิโก ทั้งนี้มี พญ.วรยา เหลืองอ่อน ตัวแทนจากสำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ร่วมบรรยายให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 68 แห่ง อนามัยเขตทั้ง 50 เขต และโรงพยาบาลสังกัด กทม. ทั้ง 9 แห่ง จำนวนกว่า 250 คน ร่วมรับฟัง

 พญ.มาลินี กล่าวว่า ตนได้สั่งการให้ทุกสำนักงานเขต เตรียมความพร้อมรับโรคระบาดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่ระบาดในเม็กซิโก โดยให้ประสานกับเกสต์เฮาส์ โรงแรม และสถานประกอบการย่านทั่วกรุงเทพฯ โดยเฉพาะย่านถนนสุขุมวิท ถนนข้าวสาร หากพบนักท่องเที่ยวที่มีอาการเป็นไข้หวัดหลังจากเดินทางเข้ามาในประเทศไทย 14 วัน ให้โทรแจ้งมาที่ศูนย์ปฏิบัติการและศูนย์ข้อมูลโรคไข้หวัดนก กทม. (SRRT) โทรศัพท์ 0-2354 1836 และ 0-2245-8106 หรือ ที่สายด่วน สธ. 1669 ตลอด 24 ชม. เพื่อส่งเจ้าหน้าที่ไปร่วมตรวจสอบในพื้นที่ป้องกันไม่ให้เกิดโรค และหากเกิดการติดเชื้อต้องควบคุมให้ได้ตั้งแต่นาทีแรก นอกจากนี้กทม.จะมีการแจกเอกสาร ถามตอบให้ความรู้เรื่องโรคไข้หวัดใหญ่ให้กับสถานประกอบการนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และคนไทยด้วย

 พญ.มาลินี กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ในวันที่ 1 พ.ค.นี้ เวลา 13.00 น. กทม.จะเชิญโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน ศูนย์บริการสาธารณสุข คลินิก และร้านขายยากว่า 100 แห่งทั่วกรุงเทพฯ เพื่อให้ความรู้เรื่องไข้หวัดใหญ่ รวมทั้งแจกแบบสอบถามผู้ป่วยต้องสงสัยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้ เช่น มีน้ำมูก มีเสมหะ ปวดศีรษะ หายใจลำบาก ถ่ายเหลว เป็นต้น ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการ กทม. ทั้งนี้ในส่วนของยารักษานั้น ขณะนี้มียาไข้หวัดใหญ่สำรองอยู่ 700 โดส และยาทามิฟลู (Tamiflu) อีก 200 โดส เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือ ซึ่งกทม.สามารถเบิกยาจาก สธ. ได้ตลอดหากเกิดการระบาดขึ้น นอกจากนี้กำลังอยู่ระหว่างการประสานเครือข่ายสหกรณ์ แท็กซี่ในกทม.ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงให้มีการป้องกันตัวเองจากโรคดังกล่าว โดยการสวมหน้ากากขณะขับรถ เพราะคนขับรถแท็กซี่ให้บริการรับส่งผู้โดยสารชาวต่างชาติอยู่บ่อยครั้งอาจเสี่ยงต่อการติดโรคโดยการไอ จาม หรือการสัมผัสประตูรถที่ผู้ป่วยสัมผัสเอาไว้ได้

 ด้านนางมนทิรา ทองสาริ ผอ.สำนักอนามัย กล่าวว่า จากสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เม็กซิโกในต่างประเทศขณะนี้ มีแนวโน้มว่า ไม่เกิน 12 สัปดาห์โรคดังกล่าวจะระบาดมายังประเทศไทย เนื่องจากว่าประเทศไทยเป็นประเทศของการท่องเที่ยวที่ยังคงเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติเข้ามายังประเทศ

ปศุสัตว์บุรีรัมออกตรวจฟาร์มหมูแนะฟาร์มดูแลด้านสุขาภิบาล         

 นายพจภิรัตน์ เนียมจุ้ย ปศุสัตว์จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมเจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่ออกตรวจฟาร์มเลี้ยงสุกร พร้อมประชาสัมพันธ์แนะนำให้เจ้าของฟาร์มดูแลด้านสุขาภิบาล โดยการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อรถที่เคลื่อนย้ายสุกรเข้าออกภายในฟาร์ม และล้างทำความสะอาดบริเวณฟาร์มเลี้ยงสุกร เพื่อป้องกันการหมักหมมของเชื้อโรคที่จะแพร่ระบาดกับหมู หรือ ระบาดสู่คนได้

 โดยเฉพาะผู้เลี้ยงที่สัมผัสและใกล้ชิดกับสุกร ทั้งยังเป็นการสร้างความเชื่อให้กับประชาชนผู้บริโภค หลังมีกระแสข่าวการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดหมูในต่างประเทศ มีผู้เสียชีวิตและติดเชื้อจำนวนมาก  

 นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้ปศุสัตว์อำเภอทุกอำเภอ เร่งออกรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการฟาร์มเลี้ยงสุกรทั้งขนาดใหญ่-กลาง-เล็ก ที่มีอยู่ในจังหวัดกว่า 9,900 ฟาร์ม ปริมาณหมูกว่า 100,000 ตัว ได้มีการจัดระบบด้านความสะอาดเพิ่มมากขึ้น หากพบว่าสุกรในฟาร์มที่เลี้ยงไว้มีอาการเจ็บป่วยผิดปกติ ก็ให้แจ้งเจ้าหน้าที่อย่างเร่งด่วน เพื่อที่จะได้เข้าไปตรวจสอบและควบคุมป้องกันไม่ให้เกิดโรคระบาดดังกล่าวได้                 
  "ถึงแม้ในประเทศไทยจะยังไม่มีการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดหมู ซึ่งเป็นไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ที่สามารถแพร่ระบาดสู่คนได้ จึงจำเป็นต้องมีการคุมเข้มป้องกันเพื่อไม่ให้เชื้อโรคดังกล่าว รวมไปถึงโรคระบาดอื่นๆ เข้ามาแพร่ระบาดในพื้นที่ได้อย่างเด็ดขาด"

ผอ.โรงพยาบาลแม่สอดแจ้งประชาชนอย่าวิตก

  แพทย์หญิงกนกนาถ ศุทธกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแม่สอด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก กล่าวว่า ขอให้ประชาชนอย่าตื่นวิตกเกินเหตุกับไข้หวัดจากประเทศแม็กซิโก จนไม่ซื้อเนื้อหมูทานกัน เพราะยังไม่มีเชื้อนี้ในประเทศไทย และทางกระทรวงสาธารณสุขมีการเฝ้าระวังคล้ายกับไข้หวัดนกอยู่แล้ว ส่วนเชื้อหวัดแม็กซิโกนั้นเป็นเชื้อไวรัส และเมื่อเรียกไข้หวัดหมูทำให้คนไม่ทานหมู จริงๆแล้วทานได้ตามปกติ และขอให้ทานเนื้อหมูที่สุกแล้ว รวมทั้งการทานอาหารที่เป็นประโยชน์กับรางกาย พร้อมกับการออกกำลังกายด้วย

สำหรับบรรยากาศการจำหน่ายเนื้อหมูในตลาดสดแม่สอด หลังจากที่มีข่าวไข้หวัดหมูแพร่ไปทั่วโลก ทำให้ประชาชนตื่นวิตกไม่ยอมซื้อเนื้อหมูไปทานกัน หรือ มีน้อยรายมากที่จะไปซื้อเนื้อหมู

นักท่องเที่ยวมาเลย์ผวาไงดเที่ยวไทย

 บรรยากาศการค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่ตลาดบ้านตาบา หมู่ 1 ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับบ้านเป็งกาลังกูโบร์ อ.ตุมปัส รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ว่า บรรยากาศการค้าเป็นไปด้วยความเงียบเหงาอย่างมาก มีนักท่องเที่ยวรวมถึงกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าจากประเทศมาเลเซีย ข้ามฟากแม่น้ำสุไหงโก-ลก ซึ่งเป็นเส้นแบ่งพรมแดนไทย-มาเลเซีย มาท่องเที่ยวและหาซื้อสินค้ากันน้อยมาก

 ทำให้กลุ่มแม่ค้าที่นำสินค้าตามฤดูกาล ประเภทผลไม้ เช่น มะม่วง และทุเรียน ขายสินค้ากันได้น้อยมาก ขณะ ที่เจ้าของเรือโดยสารข้ามฟากชาวไทย ซึ่งมีประมาณ 50 ลำ ต้องนำเรือมาจอดเทียบท่าที่ท่าเทียบเรือรัษฏาภิเษก เพราะไม่มีลูกค้ามาใช้บริการ

 พ.ต.ท.จุลจักรพงษ์ พึ่งพัฒน์ สารวัตร หัวหน้าด่านตรวจคนเข้าเมืองตากใบ กล่าวถึง กรณีที่ชาวมาเลเซีย ข้ามฟากพรมแดนเข้ามาหาซื้อสินค้าใน อ.ตากใบ กันน้อยมาก ว่า มีข่าวในวงในแจ้งว่า ทางการมาเลเซีย ได้ประกาศเตือนห้ามพลเมืองข้ามฟากพรมแดน เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยในช่วงนี้

 เพราะที่ด่านพรมแดนยังไม่เครื่องเอ็กซเรย์โรคประกอบกับยังไม่มีความชัดเจนว่า โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธ์แม็กซิโก ได้แพร่ระบาดมาถึงไหนแล้ว ทำให้ชาวมาเลเซีย เกิดความหวั่นวิตก จึงไม่กล้าข้ามฟากชายแดนมาหาซื้อสินค้ากันเหมือนปกติ ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจการใน อ.ตากใบ ซบเซาลงมากกว่าเดิมดังกล่าว

อานิสงส์ไข้หวัดเม็กซิโกทำไข่ไก่ขายดีราคาพุ่ง

นายสันติ วิโรจน์บริสุทธิ์ อายุ 43 ปี ที่ปรึกษาสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่จังหวัดฉะเชิงเทรา และเจ้าของฟาร์ม ส.สิริฟาร์ม ตั้งอยู่เลขที่ 12 /4 ม.3 ต.คลองประเวศ อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า หลังจากเกิดปรากฏการณ์เนื้อหมูมีราคาแพงสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และขายกันตามท้องตลาดสดทั่วไป ถึง กก.ละ 130-140 บาท ในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับมีกระแสข่าวต่อเนื่องเกี่ยวกับชื่อของโรคระบาดไข้หวัดหมู หรือไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่นั้น จึงทำให้ผู้บริโภคหันมาซื้อไข่ไก่ไปบริโภคมากเพิ่มขึ้น

 โดยราคาไข่ไก่หน้าฟาร์มในขณะนี้ ขยับตัวสูงขึ้น ไข่ไก่เบอร์ศูนย์ ราคาฟองละ 2.90 บาท เบอร์หนึ่ง ราคาฟองละ 2.80 บาท เบอร์สอง ราคาฟองละ 2.70 บาท เบอร์สามราคา 2.60 บาท เบอร์สี่ ราคา 2.50 บาท เบอร์ห้า ราคา 2.40 บาท และไข่คละ ราคาฟองละ 2.50 บาท ทั้งนี้ราคาไข่ไก่ได้ขยับขึ้นมาจากเดิมชนิดละ 10 สตางค์ เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

 นอกจากนี้การที่ประชาชนได้หันมาซื้อไข่ไก่ไปบริโภคมากขึ้นนั้น ยังได้ช่วยขจัดปัญหาเรื่องไข่ไก่มีปริมาณมากเกินความต้องการ จนล้นตลาด ตามที่เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ประสบปัญหา ขาดทุนมาโดยตลอด อย่างต่อเนื่องเมื่อก่อนหน้านี้

 ขณะนี้ภาพรวมทั้งประเทศ มีกำลังการผลิตไข่ไก่ออกมาสู่ตลาด อยู่ที่จำนวน 25-27 ล้านฟองต่อวัน ขณะที่ผู้บริโภคหันมาซื้อไข่ไก่ไปรับประทานมากเพิ่มขึ้น จึงถือว่ามีความสมดุล(บาลาน)กัน โดยที่เกษตรกรไม่มีไข่ไก่เหลือตกค้างอยู่ภายในฟาร์ม ในแต่ละวัน นายสันติ กล่าว

ที่มา : www.komchadluek.net